Bid Ask คืออะไร? ราคา bid ask ในฟอเร็กซ์

Updated:

What Changed?

Each month we update average spreads data published by the brokers the retail brokers lose %

Fact Checked

Bid ask คือ ชื่อเรียกของการเสนอซื้อและขาย ตามลำดับ เนื่องจากการเทรด forex เป็นการซื้อขายในรุปแบบคู่สกุลเงิน (เช่น EUR/USD) ดังนั้น การเทรดแต่ละครั้งจะประกอบไปด้วย ราคาเสนอซื้อ (Bid) ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย และ ราคาเสนอขาย (Ask) ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ขายต้องการ ทั้งสองราคานี้รวมกันเรียกว่า “Bid-Ask Quote” และความแตกต่างระหว่างสองราคานี้เรียกว่า “Bid/Ask Spread”

ในบทความนี้ของ compareforexbrokers ผมจะอธิบายให้คุณเห็นภาพมากขึ้นว่าราคา Bid-Ask และ Bid/Ask Spread นั้นทำงานอย่างไรในตลาดฟอเร็กซ์ รวมถึงการคำนวณค่า Bid/Ask Spread ที่เกี่ยวข้อง

Bid Ask คือ ราคาการซื้อขายใน forex: บทนำ

Bid Ask คือ ราคาซื้อและขายในตลาด forex เมื่อคุณเปิดออร์เดอร์เทรด นอกจาก ราคาที่ใช้ในการซื้อที่เรียกว่า “Bid” และราคาขายที่เรียกว่า “Ask” แล้ว ในบางครั้งคุณอาจพบคำว่า “Buy” และ “Sell” หรือ “Bid” และ “Offer” ซึ่งมีความหมายเดียวกัน
ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า การทำความเข้าใจในความ และปัจจัยที่มีผลต่อราคาเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการลงทุน กลยุทธ์การเทรด และการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ราคา Bid (Bid Price)

ราคา Bid คือ ราคาที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์ ซึ่งมักเรียกอีกอย่างว่า “ราคาซื้อ” (Buy Price) โดยราคานี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อุปสงค์และอุปทาน (Supply & Demand), สภาพคล่อง (Liquidity), การกำหนดราคาของโบรกเกอร์ (Broker Pricing) และ แนวโน้มตลาดโดยรวม (Market Sentiment) เป็นต้น

ราคา Ask (Ask Price)

ราคา Ask คือราคาที่ผู้ขายยินดีรับเพื่อขายคู่สกุลเงินนั้น ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อราคานี้ ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานของตลาด, เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ (Economic Events), นโยบายของธนาคารกลาง (Central Bank Policies) และ ช่วงเวลาการซื้อขาย (Trading Sessions)

Bid-Ask คืออะไรในการเทรด forex

สเปรดของ Bid/Ask คือ อะไร?

Bid/Ask Spread คือ ส่วนต่างระหว่าง ราคา Bid (ราคาซื้อ) และ ราคา Ask (ราคาขาย) ของคู่สกุลเงินที่คุณกำลังทำการเทรด เป็นราคาที่กำหนดโดยตลาด และบางครั้งก็กำหนดโดยโบรกเกอร์ของคุณเอง

ซึ่ง Bid/Ask Spread นี้ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการเทรดฟอเร็กซ์ที่สะท้อนถึง สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity), ต้นทุนการซื้อขาย (Trading Costs) และ ประสิทธิภาพของตลาดแลกเปลี่ยน (Market Efficiency)

และการที่คุณการรู้จักความหมายของ Bid/Ask Spread และคำนวณค่านี้ได้จะทำให้คุณทราบถึง ต้นทุนที่คุณต้องจ่าย รวมไปถึงคาดการ์ความเป็นไปได้ของการทำกำไร และประเมิณได้ว่าการซื้อขาย forex ในแต่ละครั้งจะทำกำไรให้มากพอที่จะครอบคลุมค่า Spread ที่คุณต้องจ่ายได้หรือไม่ เสียไป

โดยทั่วไป Spread จะต่ำกว่าสำหรับคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูง และสูงกว่าสำหรับคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องต่ำหรือคู่เงินแปลกใหม่

ตัวอย่าง 1 การคำนวณค่า Bid/Ask Spread

  • ถ้า ราคา Bid = 1.2000 และ ราคา Ask = 1.2002
  • Bid/Ask Spread = 1.2002 – 1.2000 = 2 pips

ทำไม Bid/Ask Spread ถึงสำคัญ?

การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Bid/Ask Spread จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การเทรดได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาวะที่ตลาดเป็นไปตามที่คาดหวัง หรือในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง

และจากประสบการณ์ของผม ผมมักจะใช้ Bid/Ask Spread ในการประเมิณปัจจัยเหล่านี้

  • ต้นทุนการซื้อขาย: เมื่อคุณเปิดออร์เดอร์ในแต่ละ lot การซื้อขาย คุณจะเริ่มต้นด้วยการขาดทุนเล็กน้อยจาก Spread เนื่องจากราคา Ask (ราคาขาย) จะสูงกว่าราคา Bid (ราคาซื้อ) เสมอ
  • สภาพคล่องของตลาด: ในกรณีที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง มีการซื้อขายในปริมาณมาก (เช่น คู่สกุลเงินหลักๆ อย่าง EUR/USD หรือ GBP/USD) ค่า Spread จะค่อนข้างแคบ แต่ถ้าคู่เงินนั้นมีการซื้อขายน้อย (เช่น คู่เงินรอง) คุณจะพบว่า Spread จะกว้างขึ้น

ค่า BidAsk Spread

วิธีการคำนวณ Bid/Ask Spread ของราคา การเทรด forex

คุณสามารถคำนวณ Spread ในตลาดฟอเร็กซ์หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ รวมทั้งการเทรดทองคำ โดยใช้สูตรด้านล่างนี้:

สูตรหา spread

ตัวอย่าง 2 การคำนวณราคา Bid และ Ask Spread

สมมุติว่า คุณกำลังเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD ด้วยเงื่อนไข:

  • ราคา Bid: 1.1056
  • ราคา Ask: 1.1058

ดังนั้น Spread ของราคา Bid และ Ask ที่คำนวณได้ = 1.1058 − 1.1056 = 2 pips

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา Bid และ Ask Spread ในตลาด

ความแตกต่างของราคา Bid และ Ask Spread ในการซื้อขายแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น:

 ALT ปัจจัยที่มีผลต่อค่า Bidask spread

1. สภาพคล่องในตลาด (Market Liquidity)

สภาพคล่องในตลาด หมายถึง ความสามารถของตลาดในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ เช่น สกุลเงิน, หุ้น, ฟอเร็กซ์หรือสินค้า โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมากนัก
ในตลาด forex ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EUR/USD คุณจะสามารถซื้อขายได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้ราคาไม่ผันผวนมากเมื่อมีการซื้อขาย ทำให้ spread ที่ได้แคบลง
ในทางตรงกันข้าม เมื่อตลาด forex มีสภาพคล่องต่ำ เช่น ในการเทรดคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) การซื้อขายอาจทำได้ยากขึ้น และราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ spread กว้างขึ้นจากปกติ

2. ความผันผวนของตลาด (Market Volatility)

ความผันผวนของตลาด คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาของสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ในตลาดที่มีความผันผวนที่ต่ำ สินทรัพย์จะมีราคาที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่งทำให้การคำนวณต้นทุนการเทรดแม่นยำขึ้น โดยความผันผวนที่รุนแรงมักเกิดจาก:

  • ความตึงเครียดทางการเมือง
  • การเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจ
  • ข่าวสารที่กระตุ้นการซื้อหรือขายที่รุนแรง อย่างไม่คาดคิด

จากที่ผมสังเกตมา ตลาดที่มีความผันผวนที่สูง มักจะทำให้ spread กว้างขึ้น เนื่องจาก โบรกเกอร์พยายามจะปรับราคาให้สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวน ในทางตรงกันข้าม และนั่นทำให้ต้นทุนการเทรดของคุณเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

3. ช่วงเวลาที่ทำการซื้อขาย (Forex trading sessions)

แม้ว่าตลาด Forex จะเปิดทำการ 24 ชั่วโมง 5 วัน ผ่าน Forex trading sessions ที่แตกต่างกันถึง 4 แห่งทั่วโลก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเวลาที่คุณเข้าทำการเทรดนั้นส่งผลโดยตรงต่อ Bid/Ask spread ที่คุณอาจได้รับ

  • การเทรดในช่วงเวลาที่มีการทับซ้อนระหว่างตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก จะมีสภาพคล่องสูงที่สุด ทำให้คุณได้ spread แคบ ซึ่งช่วยให้การเทรดมีต้นทุนต่ำลง
  • ในขณะที่การเทรดช่วงเวลาที่ตลาดนิวยอร์กปิดทำการ และช่วงเปิดตลาดโตเกียวกลับมีปริมาณการเทรดที่ค่อนข้างต่ำ เว้นแต่จะเป็นคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับเยน (JPY) ซึ่งทำให้คุณได้รับ spread ที่กว้างขึ้น

ผลกระทบของ Forex Trading Sessions ที่ส่งผลต่อ BidAsk Spread

4. เหตุการณ์เศรษฐกิจและข่าวสารที่เกี่ยวข้อง (Economic Events & News Releases)

เนื่องจากตลาด Forex เป็นตลาดแห่งการซื้อขายคู่สกุลเงินของประเทศต่าง จึงความสัมพันธ์โดยตรงกับสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก การติดตามประกาศและข่าวสารทางเศรษฐกิจอยู่เสมอจึงกลายเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ผมทำในชีวืตประจำวัน โดยเฉพาะจากการประกาศข่าวทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น:

  • รายงาน GDP
  • การตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแต่ละประเทศ
  • ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการเงิน
  • การกำหนดภาษีหรือนโยบายการค้า

ข่าวที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้ spread กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้เกิด slippage ในระหว่างการซื้อขาย ดังนั้น ผมมักจะรอให้ตลาดมีเสถียรภาพก่อนที่จะวางคำสั่งซื้อขาย

5. ประเภทของคู่เงิน (Major, Minor และ Exotic Pairs)

ด้วยความต้องการที่แตกต่างกันในคู่เงินแต่ละคู่ ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในปริมาณการเทรดและราคาของคู่เงินหลัก (Major), คู่เงินรอง (Minor) และคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic)
โดยคู่เงินหลักมักจะมี สภาพคล่องดีที่สุด จึงมี spread แคบ ในณะที่คู่เงินรองและ exotic กลับมีการเทรดที่ต่ำกว่า ความผันผวนที่สูงกว่า หากคุณเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ ผมขอแนะนำให้คุณใช้ความระมัดระวังและมีการบริหารความเสี่ยงทในกรณีนี้ให้ดี

6. ประเภทของโบรกเกอร์และรูปแบบการตั้งราคา (Broker Type & Pricing Model)

จากที่ผมสังเกตุเห็นในหลายครั้ง โบรกเกอร์แต่ละประเภทจะมีโครงสร้างราคาที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป โบรกเกอร์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

  1. Market Makers
  2. No Desk Dealers (NDD) ซึ่งโบรกเกอร์ประเภทนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ STP (Straight Through Processing) และ ECN (Electronic Communication Network)

และรูปแบบของการให้บริการเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดโครงสร้างราคาของโบรกเกอร์ ว่าจะเป็น:

  • Fixed Spreads (Spread คงที่)
  • Variable Spreads (Spread ผันผวน)
  • Commissions-based Spreads (Spread ที่มีค่าคอมมิชชัน)

จากที่ผมเคยลองใช้งาน ผมพบว่า STP และ ECN มักจะเสนอ spread ที่แคบที่สุด สำหรับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง แต่ในบางกรณี โบรกเกอร์ประเภท Market Makers ก็สามารถเสนอ spread ที่แคบได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็น spread คงที่ หรือ spread มีความผันผวน ขึ้นอยู่กับโมเดลราคาภายในของโบรกเกอร์ ดังนั้น ผมอยากแนะนำให้คุณใช้โบรกเกอร์ที่ดีที่สุด ซึ่งทำงานแบบ NDD และกระจายการเทรดของคุณไปยังตลาดที่มีสภาพคล่องสูง

7. นโยบายของธนาคารกลางและอัตราดอกเบี้ย (Central Bank Policies & Interest Rates)

ธนาคารกลางเป็นผู้ควบคุมนโยบายการเงิน ซึ่งรวมไปถึง กำหนดอัตราดอกเบี้ยและมูลค่าของสกุลเงิน นโยบายของธนาคารกลางในการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หรือการผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ย ล้วนมีผลต่อความต้องการและอุปทานของสกุลเงิน ซึ่งส่งผลต่อ spread ที่คุณจะได้รับ

เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพร้อมอัตราดอกเบี้ยสูงมักจะทำให้คู่เงินนั้นมี spread ที่แคบ เนื่องจากกิจกรรมการเทรดของสกุลเงินนั้นๆ มีมากขึ้น ในทางตรงข้าม เศรษฐกิจที่อ่อนแอ จะส่งผลให้ spread ของคู่เงินกว้างขึ้น ผมจึงขอแนะนำให้คุณติดตามการประกาสนโยบายจากการประชุมของธนาคารกลาง (เช่น FOMC, ECB, BoJ เป็นต้น) อยู่เสมอ เพื่อให้คุณสามารถปรับตัวตาม กิจกรรมของตลาดและแนวโน้มการเทรดได้อย่างทันท่วงที

8. ความเร็วในการดำเนินการของโบรกเกอร์และรูปแบบการไหลของคำสั่ง (Broker’s Execution Speed & Order Flow Model)

Latency และ ความเร็วในการดำเนินการคำสั่ง ก็สามารถมีผลต่อ spread ที่คุณได้ เมื่อคำสั่งการเทรดเปิดหรือปิด หากคำสั่งไม่สามารถส่งถึงเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์ได้เร็วพอ อาจจะเกิด slippage (การเบี่ยงเบนของราคา) ซึ่งทำให้มาร์จิ้นกำไรลดลง และบางครั้งอาจจะมีต้นทุนการเทรดที่สูงเกินไป

เพื่อให้ต้นทุนการเทรดต่ำลง ฉันแนะนำให้เลือกใช้โบรกเกอร์ที่รับประกันการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วหรือใกล้เคียงกับทันที รวมถึงความเร็วในการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่มี latency ต่ำ การเลือกโบรกเกอร์ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยให้คำสั่งของคุณถูกดำเนินการได้อย่างแม่นยำและทันเวลา ทำให้คุณสามารถเทรดได้ด้วย spread ที่เหมาะสม แทนที่จะเป็น spread ที่มีการปรับราคาใหม่ (requote)

วิธีลดผลกระทบจากราคา Bid และ Ask Spread

เนื่องจาก Spread เป็นต้นทุนแฝงในการเทรด ที่อาจทำให้กำไรของคุณ ในการซื้อขาย Forex เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด คุณต้องพยายามลดกระทบที่อาจเกิดจาก Spread ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Justin Grossbard ผู้เชี่ยวชาญทางด้านฟอเร็กซ์ของเรา ได้กล่าวถึงวิธีที่เทรดเดอร์มักใช้เพื่อลดต้นทุน Spread ไว้ดังนี้:

Bid Ask คือ ตัวแปรสำคัญในการซื้อขาย forex – บทสรุป

Bid Ask และ Bid/Ask Spread คือคำศัพท์สำคัญในการซื้อขาย forex และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของต้นทุนในการเทรด กำไรที่เป็นไปได้ และสภาพตลาด

ตัวเลข Bid/Ask Spread จะช่วยให้คุณประเมิณได้ว่าการเทรดของคุณมีต้นทุนที่สูงเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะหากคุณใช้ Margin หรือ Leverage ในการซื้อขาย ดังนั้น ถ้าคุณต้องการลดต้นทุนการซื้อขายที่ว่านี้ ผมขอแนะนำให้คุณลองโฟกัสที่การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำ รวมทั้ง เลือกเทรดเฉพาะช่วงเวลาสภาพคล่องสูง และใช้คำสั่งซื้อขายแบบ Limit Orders แทน

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) – Bid Ask คือ อะไร?

Bid-Ask Spread คืออะไร?

Bid-Ask Spread คือต้นทุนการซื้อขายที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์หรือผู้ให้บริการสภาพคล่อง​ ไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ที่เสนอ copy trade หรือโบรกเกอร์ใดก็ตาม
โดย Bid-Ask Spread คำนวณจากราคาที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย (Bid) ลบด้วยราคาที่ผู้ขายยินดีรับ (Ask) ในการซื้อขายสินทรัพย์ เช่น สกุลเงินในตลาด Forex​

อะไรที่ส่งผลต่อขนาดของ Bid-Ask Spread?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อขนาดของ Bid-Ask Spread ได้แก่ สภาพคล่องของตลาด ความผันผวนของตลาด รวมถึงช่วงเวลาที่คุณทำการซื้อขาย และประเภทของสินทรัพย์ที่ซื้อขาย​ เป็นต้น

นอกจากติดตามการเปลี่ยนของปัจจัยเหล่านี้ ผมขอแนะนำให้คุณใช้ระบบการแจ้งเตือนราคาจากโบรกเกอร์ เพื่อการเข้าออกตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ ใช้ EA ในการเทรดเพื่อให้คุณเทรดได้อย่างแม่นยำและสะดวกยิ่งขึ้น

ฉันจะลดต้นทุนจากการเทรด โดยอาศัยหลักการ Bid-Ask Spread ได้อย่างไร?

หากอาศัยหลักการ Bid-Ask Spread คุณควรเลือกเทรดในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูงและเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำ เพื่อที่จะลดต้นทุนที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ในการซื้อขาย forex แต่ละครั้ง

อะไรทำให้ราคา Bid-Ask Spread ขยายสูงขึ้น?

ราคา Spread อาจขยายเพิ่มขึ้นได้ในหลายกรณี เช่น:

  • การเทรดช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ ที่ทำให้ตลาดผันผวน
  • การซื้อขายในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs)

ฉันสามารถเทรดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจาก Bid/Ask Spread ได้หรือไม่?

ไม่ได้ โดยทั่วไปแล้ว การซื้อขายมักจะมี Spread เสมอ อย่างไรก็ตาม มีวิธีลดผลกระทบจาก Spread ได้แก่:

  • ใช้ Limit Orders → ตั้งราคาที่ต้องการซื้อหรือขายเพื่อจำกัดขนาดของ Spread ที่ยอมรับได้
  • เลือกโบรกเกอร์ ECN → โบรกเกอร์ ECN ไม่มีระบบคนกลางและส่งคำสั่งซื้อขายของคุณไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง ทำให้คุณสามารถได้รับ Spread เท่ากับศูนย์ (Zero Spread) แต่จะมีค่าคอมมิชชันแทน
Back to top